ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง (ECL) เผยผลประกอบการไตรมาสสามประจำปี 2560 ทำกำไรทะลุเป้า สร้างยอดสินเชื่อรถยนต์ใหม่-มือสองกว่า 690 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิ 37.1 ล้านบาท เติบโตเทียบกับปีก่อนทะลุ 87% ระบุผลจากรายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อ พร้อมการขยายธุรกิจเชิงรุกที่เน้นการปล่อยสินเชื่อกลุ่มบิ๊กไบค์ และธุรกิจบริการศูนย์ซ่อมรถมาตรฐานญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ FIXMAN เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระยะยาวหนุนพอร์ตสินเชื่อโตโดดเด่น ลุยขยับเป้าปล่อยสินเชื่อรถยนต์มือสองปี 2560 รวมกว่า 4.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55%
นายดนุชา วีระพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (ECL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ประจำไตรมาสสามปี 2560 บริษัทฯ มียอดกำไรสุทธิ 37.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 87% เกินจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 19.9 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อต่อเนื่อง และการขยายธุรกิจเชิงรุกที่เน้นการปล่อยสินเชื่อกลุ่มบิ๊กไบค์มากขึ้น โดยมียอดสินเชื่อรวมในไตรมาสสามปี 2560 มีจำนวนรวม 690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 205 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 485 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 แบ่งเป็นประเภทจัดสินเชื่อรถยนต์ร้อยละ 55 ประเภทจัดสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ร้อยละ 35 และสินเชื่ออื่นๆ ร้อยละ 10 สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของทางบริษัทฯ ในส่วนของการขยายตลาดร่วมกับพันธมิตร พรีเมี่ยมไฟแนนซ์เชียล เซอร์วิส (PFS) จากญี่ปุ่น ในการเปิดศูนย์ซ่อมรถมาตรฐานญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ FIXMAN ปัจจุบันได้ทำการเปิดให้บริการในสาขาแรกแล้วบนถนนนวมินทร์ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี โดยภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 มีแผนเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง ได้แก่ ถนนกาญจนาภิเษก ถนนสุขุมวิท (แบริ่ง) และ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังได้เตรียมทำการพัฒนาทีมช่างเพื่อตรวจสอบสภาพรถเป็นการนำร่องก่อนการเปิดให้บริการ Warrantee ชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในปีหน้า โดยบริการดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาความกังวลสำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์มือสอง และจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในการซื้อขายได้ในอนาคต เป็นการสร้างบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดยคาดปี 2560 นี้ บริษัทน่าจะสร้างยอดสินเชื่อรถยนต์มือสองรวมได้ประมาณ 4.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 55% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา