“…เช้ามาเปิดหน้าเฟสบุ๊ค…อุต๊ะ !!! วันนี้มีแต่กระแสรายการเดอะแมส…
พร้อมเสียงพึมพัมๆๆ หึ่งๆๆ ของผู้คน…ถึงรายการสุดฮ็อตเมื่อคืนนี้”
วานนี้ (พฤหัส 23 มี.ค.) แอ๊ดมินมีภารกิจจะต้องไปรีวิว “ตลาดหัวมุม” มาฝากเพื่อนๆชาวอเบาท์ลิฟวิ่ง ก็เลยรีบแจ้นออกไปจากออฟฟิตตั้งแต่ยังไม่หกโมงครึ่งเลย แต่…..หลังจากออกไปได้ 10 นาที ก็พบว่ารถติดมากกกกเป็นประวัติการณ์ ติดอยู่บนถนนพญาไทไปเรื่อยตามถนนจตุรทิศ เพื่อมุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วนไปเรียบด่วนรามอินทรา ก็ติดแบบแหงกๆ ไม่ขยับ ผ่านเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ยังไม่ถึงไหนเลย ก็เลยต้องล้มเลิกภารกิจรีวิวตลาดไปก่อน แล้วก็แวะจอดหาที่ทานข้าวซะ ลืมบอกไปว่า ณ จุดนั้น ยังไม่ได้ขึ้นทางด่วนเลยจ้า!!!
วนรถไปมา เอาวุ้ย ตกแถวเซ็นทรัลพระรามเก้านี่แล้วกัน ก็เลยหาร้านอาหารอร่อยๆ กินสบายๆ สไตล์ AboutDining ซะเลย แต่พอกินเสร็จแล้วก็เกือบ 3 ทุ่มและ เดินออกมาจะขึ้นรถ แอบเห็นน้องๆ วัยรุ่น นั่งจับกลุ่มแถวลานจอดรถ เหมือนดูอะไรกันซักอย่าง ก็เลยแอบเดินเลียบๆ เคียงๆ เข้าไปเฉียดดูว่าทำไรกัน พอไปถึงก็ต้องร้อง อ๋อออออออออ!!! ตอนเย็นรถติดเพราะรายการเดอะแมสนี่เอง วันนี้คนรีบกลับไปรอดูรอบตัดสิน ระหว่างหน้ากากอีกา กับหน้ากากทุเรียน โอวแม่เจ้ารถติดทั้งเมืองเลยคร้าบ (อันนั้นแอ๊ดมินคิดเองนะครับ เพราะตอนเช้ามา น้องๆ ในออฟฟิตเค้าก็บอกว่า เมื่อวานนี้ทีวีไทย มีหลายรายการเด็ด เช่นฟุตบอลไทย-ซาอุฯ ด้วย) และแล้วภารกิจก็จบลงไปเมื่อกลับถึงบ้านราวๆสี่ทุ่มกว่า โดยที่แอ๊ดเอง ก็ไม่ได้กลับไปเปิดยูทูปดูรายการนี้ เพราะหมดแรงจากการไปเยี่ยมลูกค้าหลายรายตลอดทั้งวัน
แต๊นๆแต่นนนน!!! เช้าตื่นมา ตามประสาคนออนไลน์ ลืมตาได้ก็หยิบโทรศัพท์มาอัพเดทดูซะหน่อย ว่าพลาดอะไรไปบ้างเมื่อคืนนี้ เพื่อนๆ เค้าไปแซ่บกันแถวไหนบ้าง แต่สิ่งที่เห็นเค้าโพสตกันตั้งแต่เมื่อคืน ในกลุ่มเพื่อนของแอ๊ดเอง พบว่ามีแต่เรื่องราวของ “หน้ากากทุเรียน!!!” เต็มไปหมด และเรื่องไฮไลท์มันก็อยู่ตรงที่ “รายการไม่ยอมเปิดหน้าของผู้ชนะ” นั่นก็คือ “หน้ากากทุเรียน” อีกนั่นเอง
อ่านคอมเม้นท์ของเพื่อนๆไปก็ขำไป ซึ่งเห็นบริบทของสังคมไทย กับการเสพสื่อรายการโทรทัศน์ยุคใหม่ ซึ่งก็ต้องขอกล่าวแสดงความชื่นชมกับทางช่องและผู้จัดรายการด้วย ที่สามารถสร้างรายการน่าสนใจ และตรึงใจผู้ชมได้จำนวนมาก จนทำให้เรตติ้งในการชมรายการของเค้าพุ่งกระฉูดจริงๆ ทั้งที่ความเป็นจริงในยุคเปิดทีวีเสรี ที่มีช่องดิจิตอลถึง 24 ช่อง ช่องจากรายการเคเบิ้ลแบบจ่ายเงินอีกร้อยกว่าช่อง และช่องจากจานดำอีกมากกว่า 300 ช่อง หรือเรียกได้ว่า คู่แข่งเพียบบบบเลยก็ว่าได้ดังนั้นรายการประเภทเกมโชว์ ที่จะดึงดูดสายตาและตรึงใจผู้ชมให้ติดตามได้แบบนี้ ต้องอาศัยตั้งแต่รูปแบบรายการ ที่ต้องมีครีเอทีฟที่มีคุณภาพ มีการวางแผนการจัดการรายการที่ดี และที่สำคัญเนื้อหาของรายการน่าจะต้องแซ่บและสร้างความต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ชมเกิดการติดตามได้อย่างใจจดใจจ่อ นอกจากนี้ พิธีกรและแขกรับเชิญร่วมรายการเอง ก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้เกิดการติดตาม ซึ่งรายการนี้ นับได้ว่ามีการเลือกใช้กลยุทธ์ในการสร้างสรรค์รายการได้อย่างครบถ้วนจริงๆ แถมท้ายในการสร้างความตื่นเต้น สนุกสนานตลอดเวลา กับการทายชื่อ คาดเดา และมั่ว ไปกับการลุ้นว่าแต่ละหน้ากาก จะเป็นใครมาร้องเพลงกันแน่ โดยเหล่าคอมเม้นเตเตอร์ที่มากความสามารถหลายๆ คนสลับหน้ากันมาแต่ละสัปดาห์นั่นเอง
จุดพีคของรอบนี้ น่าจะอยู่ที่การโหวตคัดเลือกผู้ชนะรอบชิงชนะเลิศนี่เอง ซึ่งเป็นการแข่งขันกัน ระหว่างผู้ชนะในแต่ละสาย นั่นคือ หน้ากากทุเรียน กับหน้ากากอีกานั่นเอง ซึ่งโดยปกติผู้แพ้จะต้องเปิดเผยหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากากของแต่ละคน และในรอบนี้หน้ากากทุเรียนก็ได้รับการโหวตให้เป็นผู้ชนะ ซึ่งในส่วนของผู้แพ้ก็ต้องเปิดเผยหน้าตามปกติ แต่ด้วยความที่กระแสสังคมในการชื่นชมรายการนี้ค่อนข้างมีมากมาย และน่าจะมีส่วนทำให้รถติดทั่วกรุงเทพตลอดเย็นเมื่อวานนี้ (แอ๊ดเดาเอาเองนะครับ ^^) เพราะอยากกลับไปลุ้นศิลปินภายใต้หน้ากากที่ตัวเองชื่นชอบนั่นเอง
แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบลงตรงที่การแข่งขันแล้วแพ้ แล้วชนะนี่สิ เกิดกระแสวิจารณ์บนโลกโซเชียลอย่างมากมาย เมื่อพิธีกรไม่ประกาศให้เปิดหน้ากากของผู้ชนะ นั่นก็คือ หน้ากากทุเรียนด้วย หลายคนออกมาวิจารณ์ที่รุนแรง เสมือนทางรายการ “หลอกลวง” ผู้ชม ที่บอกว่าจะเปิดเผยหน้าของผู้ชนะที่พวกเค้ารอลุ้นกันมานานว่าเป็นใครกันแน่ แต่กลับต้อง “อกหัก” เพราะพิธีกรประกาศว่าจะมีมินิคอนเสิร์ตให้กับผู้ชนะ ในสัปดาห์หน้า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “คนอกหัก” ที่เริ่มระบายอารมณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างเต็มที่!!!
จากบริบทดังกล่าว แอ๊ดมิน ในฐานะเป็นคนในวงการสื่อสารมวลชน และวงการสื่อด้วยกันเอง ก็มองว่าทางค่ายหรือผู้จัดเอง ก็ถือว่ากล้าหาญมาก ที่นอกเหนือจากการสร้างความสำเร็จให้วงการโทรทัศน์เมืองไทยในยุค 4.0 ที่สามารถทำให้เห็นแล้วว่า “คุณภาพ” ที่เหนือกว่าย่อมได้เปรียบ แต่ในอีกมุมนึงที่ต้องใช้คำว่า “กล้าหาญ” ก็คือ “การเล่นกับความรู้สึกของผู้ชม” นั่นเอง ซึ่งเรื่องแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่ในต่างประเทศ การสร้างรูปแบบเซอร์ไพรซ์หรือช็อคผู้ชม เป็นการสร้างกระแส “พีค” ที่ต่อเนื่องให้กับคนดูได้เช่นกัน
ส่วนอีกด้านนึงที่สะท้อนให้เห็นคือ “สังคมผู้ชมชาวไทย 4.0” ในยุคนี้ ไม่ได้ชมรายการโทรทัศน์ กันจากโทรทัศน์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเค้าสามารถดูรายการสดได้จากทุกที่ ผ่านโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนของตัวเอง หรืออาจจะคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ไปพร้อมๆกับการถ่ายทอดสดนั่นเอง และหากใครพลาดรายการในช่วงนั้น เพราะติดธุระ ก็สามารถตามชมได้จากรายการย้อนหลังทางออนไลน์อีกเช่นกัน ซึ่งจะแตกต่างกันเล็กน้อย ก็คงที่ “สปอนเซอร์” หรือ “โฆษณา” ที่จะคั่นรายการ ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากรายการทีวีนั่นเอง แต่ก็มีสิ่งที่ออนไลน์มาแรงและเหนือกว่ารูปแบบสื่อทีวีแบบดั้งเดิมก็คือ ผู้ชมสามารถมี “ปฏิสัมพันธ์” กับกิจกรรมได้ด้วย เช่นการโหวต , การแชร์ประสบการณ์ชม, การคอมเมนท์ ทั้งที่ส่งตรงกับไปยังช่องทางของตัวเองหรือของรายการได้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั่นเอง
เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อระบบออนไลน์มีการพัฒนายิ่งขึ้น เราอาจจะเห็นระบบโทรทัศน์ที่เชื่อมกับออนไลน์ในแบบแปลกๆ ใหม่ๆ มากขึ้น เพราะโดยส่วนตัวแอ๊ดคิดว่าคนจำนวนมากก็คงอยากดูรายการต่างๆ จากใหญ่ๆ มากกว่ามือถือเล็กๆแน่ๆ และเราอาจจะได้เห็นรายการที่สามารถ “ขายของ” แบบ “Real Time” ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ได้เลยก็เป็นได้ เพราะสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกรายการอยู่ได้ คือการสนับสนุนด้านโฆษณาจากสินค้าและบริการต่างๆ นั่นเองครับ
สุดท้ายนี้ ก็คงต้องรอดูกระแสของผู้ชมกันต่อไปว่า จะตัดสินประเด็นนี้กันอย่างไร แต่แอ๊ดมินก็เชื่อว่า เคสดังกล่าวนี้ น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญให้กับผู้จัดรายการ หรือเจ้าของรายการนี้ และรายการอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ยังไงก็ต้องขอเอาใจช่วยทุกๆ ทั้งแฟนคลับ ทั้งคนชม และคนทั่วไป ลุ้นกันต่อไปครับว่า “หน้ากากทุเรียน” คือใคร ใช่หรือมั่ว อย่างที่คอมเมนท์เตเตอร์แต่ละคนบอกไว้ หรือตรงกับใจเราอย่างไรครับ
เรื่องโดย Mr.AboutLiving
ขอบคุณภาพ
1.จากทางรายการ The Mask Singer “หน้ากากนักร้อง” ของช่อง WorkPoint
2.คอมเม้นท์จากเพื่อนๆ ในวงการสื่อสารมวลชนและพี่น้องชาวอเบาท์ลิฟวิ่ง ที่ไม่ได้เอ่ยนาม
#AboutLiving.Asia