ยุคแห่งความเท่าเทียม เมื่อสตรีธรรมดาทั่วๆไป ลุกขึ้นมาประกอบสัมมาชีพ ในหน้าที่การงาน ที่คนรุ่นเก่าก่อนอาจไม่คุ้นเคย จนดูขัดกับความรู้สึก ทำให้เกิดความคิดว่า เธอเหล่านี้มีบริบท ความแกร่ง เกินเพศตามกำเนิด (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครกำหนด) แต่สำหรับผมแล้ว กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะไม่ว่าอะไรที่คุณผู้ชายทำได้ คุณผู้หญิงก็ทำได้เช่นกัน หากว่าสิ่งนั้นเป็นการกระทำโดยสุจริต.. ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจารีต
มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องยอมรับและให้เกียรติสุภาพสตรีเหล่านี้โดยดี ไม่สิ ไม่ใช่แค่ให้เกียรติ แต่สมควรยกย่องด้วยซ้ำไป ที่พวกหล่อนไม่ยอมรีๆรอๆงอมืองอเท้า เฝ้าเอาแต่ฝันใฝ่โหยหาความสะดวกสบาย โดยการยอมลดตัวเป็นเบี้ยล่าง เพื่อรอให้ใครก็ตามมาปรนเปรอ แล้วก็เกียจคร้านไปวันๆจนดูไร้ค่า หน้าที่รับผิดชอบนำมาซึ่งคุณค่าของการดำรงอยู่ (ส่วนถ้าอยากจะฟุ้งเฟ้อก็ไม่ผิดอะไร แต่ควรถึงขั้นนี้ให้ได้เสียก่อน)
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การท้าทายอย่างเกรี้ยวกราด (ซึ่งใครก็ไม่ควรคิดเช่นกัน เพราะมันไม่ใช่เช่นนั้นจริงๆ) ใครๆก็ทราบกันดีว่า สัดส่วนประชากรโลกในวันนี้ เพศหญิงมีจำนวนมากกว่าเพศชาย ในอัตตาส่วน 8 : 1 ความไม่สมดุลย์เรื่องนี้ ก่อให้เกิดสูญญากาศในการขับเคลื่อนทางสังคม ภาวะเช่นนี้ทำให้ลูกผู้หญิง ต้องลุกขึ้นมาสู้ชีวิต นี่เป็นทางรอด ก็เพราะมันคือการปรับตัว ตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกสายพันธุ์ ของกระบวนทางธรรมชาติ
ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะได้ในทุกสิ่งอย่าง เคยได้ยินกันมั้ยว่า “ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง” เมื่อคุณเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว แปลว่า คุณจะไม่ได้อีกสิ่ง ผู้หญิงยุคนี้ก็เช่นเดียวกัน หากต้องการความทัดเทียมเสมอผู้ชาย คุณก็ต้องขยับเขยือนขึ้นมา ด้วยลำแข้ง มันสมอง และสองมือ หากว่าคุณเอาแต่ขยับปากเรียกร้องโดยไม่เคลื่อนกายให้ไหวติง หรือไม่มีการพัฒนาอะไรเลย แล้วคุณจะร้องหาความเท่าเทียมได้อย่างไร?
สุดท้ายนี้ ผมขอแสดงความเลื่อมใส กับสุภาพสตรีทุกท่าน ที่อดทนสู้งานหนัก จะเพื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่คุณได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่าศักยภาพของคุณมีอยู่จริง คุณมีดี มีคุณค่า มีน้ำยา มีหัวคิด ส่วนพวกที่เหลือ หากยังติดปัญหาใดอยู่ ก็ขอให้แก้ไขได้ไวๆ จะได้ปลกแอกตัวเองเสียที หากไม่อยากจะโดนปรามาส ด้วยถ้อยคำเสียดสี การเถียงมันเป็นเพียงแค่ลมปาก แต่ความวิริยะมันเป็นการสร้างความประจักษ์ ให้เป็นรูปธรรม