ขายครีมและเครื่องสำอาง ธุรกิจดาวรุ่งหรือดาวเดือด!!!
ธุรกิจเกี่ยวกับการทำครีมหรือเครื่องสำอาง นับเป็นธุรกิจที่ SMEs มือใหม่ หรือเรียกง่ายๆคือ ซ่า อยากจะลงทุนทำกันมากอีกธุรกิจหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะเคยได้รู้ เคยได้เห็น ว่าน้องพริตตี้สาวสวย กลายเป็นคนมีเงินล้านภายในไม่กี่เดือน หรือมีเพื่อนคนโน้น คนรู้จักคนนั้นบอกมาว่า ตอนนี้รายได้เสริมเยอะขึ้นหลักหมื่น หลักแสนจากธุรกิจเครื่องสำอาง
แต่พวกมือใหม่ เคยรู้หรือไม่ว่า การลงทุนทำเครื่องสำอางต่างๆ หากไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว สิ่งที่คุณจะพบเจอก็คือ
1. ทุนหาย กำไรหด
2. มีครีมเต็มบ้าน เก็บไว้ให้ดูต่างหน้า
ตัวอย่างที่หยิบมาถ่ายรูปด้านบน (รูปแรก) ให้ดู ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ “ครีม” หรือเครื่องสำอางจากเกาหลี ที่บรรดาเพื่อนๆ ไปต่างประเทศ แล้วซื้อมาฝาก
คุณเห็นอะไรบ้างจากรูปลักษณ์ภายนอกตั้งแต่แรกเห็น ผมเชื่อว่าหลายคนจะพุดเหมือนๆกัน คือ แพกเพจจิ้งน่ารักดี สวยดี สะดุดตา ดูดีมีชาติตระกูล น่าซื้อ น่ารัก บราๆๆ
แล้วคุณสมบัติของครีมล่ะ …..ไม่รู้ แต่เชื่อว่าเกาหลีทำ แหล่งครีมของเกาหลีมีชื่อเสียงซะเหลือเกิน มันต้องดีแน่ๆ ใช้แล้วหน้าขาว หน้าเด้ง เหมือนตูดเด็กแน่นอน ที่สำคัญมันคือของฝาก อยากคิดมากน่า!!!!
แล้วคำถามเหล่านี้น่าคิดนะครับ มันจะกลับมาตอบโจทย์ SMEs ไทยที่อยากทำครีม หรือเครื่องสำอางด้วยเช่นกันว่า คุณพร้อมแล้วที่จะซ่า ลงตลาดนี้ และเอาเงินมาโยนทิ้งหรือยัง และถ้าคุณจะเริ่มทำเครื่องสำอางของตัวเองซักแบรนด์นึง จะทำอย่างไรดี ลองมาดูหลักคิดเบื้องต้น แล้วสร้างสินค้ากันบนกระดาษก่อนแล้วกันนะครับ เพราะถ้าเจ๊งบนกระดาษ อาจจะเข้าแนวคิดแบบ “น้ำลายหก ดีกว่า น้ำตาตก” นะครับ
คำถามที่ 1. ดูก่อนว่า จะขายครีมแบบไหน จะเป็นครีมบำรุงผิวหน้าหรือครีมหน้าขาว หรือสคัป ลองศึกษาสูตรของหลายๆ เจ้า แล้วเอามาเปรียบเทียบราคา คุณสมบัติ ขนาด น้ำหนัก แพกเกจจิ้ง ความสวยงาม แล้วเลือกแบบที่ชอบไว้ในใจก่อน (แต่ก็อาจจะเปลี่ยนใจได้ถ้าตอบโจทย์ในข้อต่อๆไปไม่ชัด
คำถามที่ 2 กลุ่มลูกค้าที่จะขาย จะขายให้ใครดี (อันนี้มีผลมากๆครับ)
เพราะควรจะพิจารณาจากกลุ่มอายุ กำลังซื้อ เป็นสำคัญ เช่น ถ้าจะขายวัยรุ่น สิวเหอะ หน้าปุ จะต้องใช้ครีมประเภทไหน กลุ่มนี้บ้าพลัง ความต้องการสูง แต่รายได้น้อย กำลังซื้อไม่มาก แต่ถ้าเป็นคนทำงานมีรายได้แล้ว ตัดสินใจได้ แต่ก็มีรายจ่ายเยอะ ดังนั้นคุณสมบัติจะต้องโดดเด่นชัดเจน ราคาเหมาะสม หรืออีกกลุ่มคือ วัยกลางคน ที่ต้องการเสริมเติมแต่งในลักษณะฟื้นฟู ต้องสวย กลุ่มนี้รายได้อาจจะมั่นคงแล้ว มีเงินเหลือมาใช้สินค้าฟุ่มเฟือยได้มากขึ้น แต่กลุ่มนี้ต้องการของดี ราคาอาจจะสูงหน่อยแต่สู้ได้สบาย เป็นต้น
คำถามที่ 3 จะขายครีมของคุณให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างไร
อุต่ะ!!! ข้อนี้ จะเริ่มแทงใจคนทำแล้วว่า เออว่ะ แล้วทำมาจะขายยังไงล่ะ หรือบางคนอาจจะบอกว่า ก็ขายบนออนไลน์ไง เห็นเค้าขายกันโครมๆ ทำไมจะทำบ้างไม่ได้
คำตอบของการขายสินค้าบนออนไลน์ จะมีคำถามที่น่าสนใจคือ วันนี้คุณมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่เพื่อน และญาติ หรือยัง เพราะกลุ่มแรกนี้ เราเรียกว่า “น้ำจิ้ม” เพราะเค้าอาจจะช่วยซื้อคุณไปคนละหลอดสองหลอด เอาไปลองใช้ ซึ้่งถ้าใช้ดี หรือใช้แล้วชอบ ก็จะบอกต่อ หรือซื้อมาใช้ต่อ แต่ถ้าไม่ชอบล่ะ……!!!!!
ส่วนที่จะขายออนไลน์นั้น รู้แล้วหรือว่าวิธีการทำสื่อโฆษณา สื่อการตลาด สื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เข้าถึงตรึงใจ โดนใจลูกค้าทำอย่างไร มีกี่วิธี เพราะในปัจจุบัน การมีแค่เฟสบุ๊ค แล้วขายสินค้าไปวันๆ หรือไปแทคคนโน้น แอ๊ดคนนี้ แล้วพวกเค้ารำคาญ อาจจะทำให้คุณโดนบล๊อคเฟสไปเลยก็ได้นะครับ
คำถามที่ 4 รู้หรือไม่ว่า ต้นทุนสินค้าของคุณ จะตั้งราคาอย่างไร
ประเด็นนี้ก็สำคัญ เรามาลองดูวิธีคิดในการกำหนดราคากันซักนิดนะครับ ตัวอย่าง SMEs ที่อยากลองทำ ครีมหน้าขาวซักตัวนึง
1.เริ่มต้นลงทุนซื้อครีมแบบตักขายมาซัก 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ อยู่ที่ 2-6 พันบาท ุ
2. มองหาแพกเกจจิ้ง ไม่ว่าจะเป็นขวด เป็นตลับ เป็นกระปุก จะธรรมดาหรือวิริสมาหราก็แล้วแต่ แต่สิ่งสำคัญคือ “ขนาดบรรจุ” ที่จะใส่ลงไป มีผลต่อราคาของคุณ เช่น ถ้าจะบรรจุ 50 ML หรือมิลลิกรัม หรือจะเป็น 100 ML ก็คือ 100 มิลลิกรัม
เพราะมันจะมีผลต่อการลงทุนของคุณ และมีผลกระทบไปถึงราคาขายของคุณด้วยนั่นเอง
3. การออกแบบตราสัญลักษณ์ ฉลาก และคุณสมบัติ ส่วนนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ อีกตัวหนึ่งของการทำแบรนด์เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือ “หน้าตา” และสิ่งดึงดูดให้ลูกค้าของคุณหันมาสนใจหยิบจับ ครีมของคุณขึ้นมาดู ก่อนที่จะตัดสินใจว่าอยากลองใช้หรือไม่
เพราะต่อให้คูณสมบัติของคุณโค ตะ ระ ดีมากๆ แต่แพกเกจจิ้งครีมของคุณดูคล้ายยาสามัญประจำบ้าน คนก็อาจจะรู้สึก “อี๋” ไม่กล้าใช้ เรียกได้ว่า ยังไม่ได้ทันอ่านสรรพคุณก็ “สวัสดี” กันไปแล้ว
ดูตัวอย่างครีมสองหลอด ที่ผมนำมาเป็นตัวอย่างสิครับ พี่เกาหลีอาลีดัง เค้าเลือกใช้ “โปเกม่อน” มาผสมผสาน แม้มีค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์ที่ค่อนข้างสูง แต่เกาะกระแส คนเห็นแล้วว่าน่ารัก น่าหยิบมาดู พอดูราคาแล้ว ก็โอเคนะจ๊ะ พอซื้อไปฝากเพื่อนๆ เพื่ออวดว่าฉันมาเกาหลีนะย๊ะ ได้ด้วย ก็จัดเลยสิบหลอด ยี่สิบหลอด ป๊าดดดด!!!
4. คำถามเกี่ยวกับการตั้งราคา อันนี้ก็สำคัญ เพราะมันจะกลับไปหาหัวข้อข้างบนว่า “คุณจะขายใคร” ก็ให้เลือกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดไปเลย ไม่ใช่เหมาๆ เอาว่า ครีมของขั้นนั้น เหมาะกับทุกกลุ่มอายุ ใช้ได้ตั้งแต่แรกคลอดยันเกษียณวัยทอง คล้ายกับ “บัวหิมะ” ซึ่งครอบจักรวาล
ถ้าขายวัยรุ่น ก็อยู่ในระดับหลักสิบ ไม่เกินหลักร้อย จำนวนปริมาตรน้อยหน่อย ถ้าขายวัยทำงานแรกเริ่มก็ราคา ร้อยต้นๆ ไปจนสองสามร้อย เค้าก็พอรับได้ แต่ถ้าขายคนมีกำลังซื้อแน่ๆ 25-45 ปี ก็หลักหลายร้อยหรือระดับพันต้นๆ ก็พอสู้ไหว แต่จะขึ้นพันกว่าได้นี่ต้องเข้าขายครีมระดับแถวหน้ากันและ ก็ต้องคิดดูเอานะครับ
มีคนเค้าเล่าสูตรการคำนวณต้นทุนการทำครีม ก็เลยหยิบยืมมาให้ลองดูเล่นๆ เป็นตุ๊กตานะครับ
กรณีที่ 1: ครีมทั่วไป ขายราคาไม่แพงที่ 80 บาทต่อชิ้น
ครีม 1 ก.ก. (1,000 กรัม) บรรจุลงตลับ 5 กรัมได้ 200 ตลับ (คุณทำการบรรจุครีมลงตลับและติดสติ๊กเกอร์เอง)
ครีมบำรุงผิวหน้าขาวใส 1 ก.ก. ราคา 3,000 บาท
ตลับ 5 กรัม จำนวน 200 ตลับๆ ละ 8 บาท รวม 1,600 บาท
ค่าสติ๊กเกอร์ 200 ดวงๆ ละ 1.50 บาท รวม 300 บาท
ลงทุนรวม 4,900 บาท (อันนี้ยังไม่รวมค่าค่าเดินทาง ค่ากล่องค่าออกแบบ แบบมืออาชีพ และการขอ อย. ค่าการตลาดในการทำเฟสบุ๊คให้คนดูเยอะๆ หรือค่าฝากวางหน้าร้านนะจ๊ะ)
ดังนั้นขายราคาตลับละ 80 บาท x 200 ตลับ เป็นเงิน 16,000 บาท
นั่นคือ จะมีกำไรทั้งสิ้น (16,000 – 4,900) 11,000 บาท (คิดเป็น 224%) โอว…..แม่เจ้า มันช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้!!!!
กรณีที่ 2: ขายราคาปานกลางที่ 150 บาทต่อตลับ ครีม 1 ก.ก. (1,000 กรัม) บรรจุลงตลับ 5 กรัมได้ 200 ตลับ (คุณทำการบรรจุครีมลงตลับและติดสติ๊กเกอร์เอง)
ครีมบำรุงผิวหน้าขาวใส 1 ก.ก. ราคา 3,000 บาท
ตลับ 5 กรัม จำนวน 200 ตลับๆ ละ 15 บาท รวม 3,000 บาท
ค่าสติ๊กเกอร์ 200 ดวงๆ ละ 1.50 บาท รวม 300 บาท
ลงทุนรวม 6,300 บาท
ขายราคาตลับละ 150 บาท x 200 ตลับ เป็นเงิน30,000 บาท
นั่นคือ คุณมีกำไรทั้งสิ้น (30,000 – 6,300) = 23,700 บาท (คิดเป็น 376%)
ดังนั้นจากวิธีคิดเบื้องต้น และสูตรคำนวณเล็กๆ ที่เล่ามาซะยืดยาว
มันก็เรียกได้ว่าดึงดูดให้คนจำนวนมาก แห่แหนกันมาทำครีมขายกันเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างที่พวกเราเห็นนี่แหละครับ
ส่วน SMEs ท่านใดที่กำลังมองหาธุรกิจทำเสริมรายได้ หรือเป็นธุรกิจหลักในอนาคต ผมไม่ได้บอกว่า ธุรกิจเครื่องสำอางไม่น่าสนใจ หรือไม่น่าทำนะครับ เพราะตลาดนี้มีมูลค่าปีละ 2 แสนล้านบาทเลยทีเดียว นี่เฉพาะตลาดในประเทศนะครับ
ถ้าคุณสามารถสร้าง “ความโดดเด่น แตกต่าง” และที่สำคัญคือ คุณภาพได้มาตรฐาน และพร้อมที่จะลุยตลาด (ที่เลือกกลุ่มเป้าหมายแล้ว) ลองศึกษาหารายละเอียดจากโลกออนไลน์ดูนะครับ
มันก็อาจจะทำรายได้จำนวนมากแบบเปลี่ยนชีวิตให้กับเราได้เช่นกัน
แต่ถ้าคุณคิดจะทำเล่นๆ อาจจะทำให้คุณ มีครีมของคุณเองอยู่เต็มบ้าน แจกจ่ายเพื่อนบ้านและญาติโยมแล้วยังไม่หมดเลย เพราะเราเดินผิดทาง เป็นผมยอมเลือกน้ำลายหก ดีกว่าน้ำตาตก ครับ …..ยังไงก็ขอให้กำลังใจ SMEs ที่พร้อมจะลงสู้กับตลาดนี้นะครับ
#AboutBizIdea
#AboutLiving.Asia
#Mr.AboutLiving