CCP เปิดแผนปี 2568 ย้ำพันธกิจด้านความยั่งยืน (ESG) ขับเคลื่อนองค์กร มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปรักษ์โลกพร้อมใช้งาน ตอบโจทย์ครอบคลุมงานโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ – ภาคเอกชน วางงบลงทุน 150 ล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต สร้างโอกาสการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รักษา Backlog ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,850 ล้านบาท เดินหน้าขยายธุรกิจจัดการคลังสินค้า Free Zone รองรับดีมานด์เพิ่ม ปักเป้าเติบโตรายได้รวมไว้ที่ 10%
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานปี 2568 บริษัทฯให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) พร้อมใช้งาน สำหรับงานโครงสร้าง งานระบบ และ คอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับงานตกแต่ง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้งานก่อสร้างเสร็จรวดเร็ว ลดการปล่อยคาร์บอน สามารถตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าในหลากหลายเซ็กเมนต์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อาทิ โครงการสนามบินอู่ตะเภา รถไฟฟ้า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง กรมทางหลวง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น
บริษัทเตรียมงบลงทุน 150 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมคุณภาพ และ ลดต้นทุน ควบคู่การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เช่น ผู้ประกอบการงาน Landscape ขนาดกลางและเล็กทั่วประเทศ ที่ต้องการความรวดเร็วในการก่อสร้าง รวมถึงสร้างโอกาสการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขยายช่องทางการจำหน่าย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,850 ล้านบาท
ขณะที่ บริษัท ชาลี ท็อป โลจิสติกส์ โซลูชัน จำกัด บริษัทย่อย ธุรกิจให้บริการด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า Free Zone (เขตปลอดอากร) ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างเฟสแรกแล้วเสร็จ และได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก มีผู้มาใช้บริการเช่าพื้นที่แล้ว คิดเป็น 100% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีแผนขยายลานตู้ เพิ่มเติมในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากธุรกิจคลังสินค้าไว้ที่ 10% เมื่อเทียบกับปี 2566
“การให้ความสำคัญกับ ESG ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสังคม แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และสร้างความแตกต่างให้กับบริษัทฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ผลักดันรายได้ของบริษัทให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่ 10% แบ่งสัดส่วนรายได้จากลูกค้าภาครัฐ 60% และลูกค้าเอกชน 40%”
