เบาหวานขึ้นตาภาวะแทรกซ้อนพบได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน สาเหตุสำคัญที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นและถือเป็นภัยเงียบอันน่ากลัว เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานส่วนมากในระยะเริ่มต้นจะไม่มีความผิดปกติของการมองเห็น ซึ่งสามารถเกิดได้ถึง 90% หลังเป็นเบาหวานนาน 15 ปี(FYR : https://shorturl.asia/E4maI )
นายแพทย์ศิริพงศ์ สินประจักษ์ผล จักษุแพทย์ ศูนย์จักษุโรงพยาบาลระรามเก้า อธิบายว่า “โรคเบาหวาน เกิดภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงผิดปกติ ส่งผลทำให้หลอดเลือดเล็ก ๆ ทั่วร่างกายเหล่านี้มีปัญหา ซึ่งหลอดเลือดเหล่านี้จะกระจายอยู่ทั่วร่างกายเรา ทำหน้าที่ขนส่งเซลล์เม็ดเลือด สารอาหาร และออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อของร่างกายโดยเฉพาะที่ตาของเรา เป็นตำแหน่งที่มีหลอดเลือดเล็กๆ อยู่เยอะ เพราะฉะนั้นหากเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นมา ก็จะเกิดภาวะการขาดเลือดของเนื้อเยื่อที่จอประสาทตา ทำให้เกิดการมีเลือดออกผิดปกติ มีจอประสาทตาบวม และหากอาการรุนแรงมาก สามารถส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานตาบอดได้ ดังนั้น ภาวะเบาหวานขึ้นตาจึงต้องเน้นในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานก่อน
โดยเริ่มต้นผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการ แต่หากภาวะนี้เกิดขึ้นซักระยะหนึ่ง ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการตามัว การมองเห็นเริ่มผิดปกติซึ่งอาจจะเกิดจากจุดรับภาพบวม จากการที่มีเส้นเลือดผิดปกติจากเบาหวานขึ้นตา หรือบางรายอาจจะมีการมองเห็นที่มัวหลงเฉียบพลันได้หากเกิดมีการแตกของเส้นเลือดแล้วเกิดมีเลือดออกในลูกตา ในรายที่มีอาการรุนแรงหากปล่อยจนกระทั่งเป็นมาก ๆ แล้วเกิดเป็นพังผืดดึงให้เกิดภาวะจอประสาทตาลอกอาจจะเกิดการสูญเสียการมองเห็นแบบถาวรได้”
“อาการตาพร่ามัวหรือการมองเห็นผิดปกติที่เกิดจากภาวะเบาหวานขึ้นตา จะต่างจากอาการสายตาสั้นหรือสายตายาวโดยทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการดังนี้
- มองภาพตรงกลางไม่ค่อยชัด
เกิดจากจอประสาทตาบวม คือจากที่ผู้ป่วยเคยมองเห็นรายละเอียดตรงกลางได้อย่างชัดเจน จะเริ่มเกิดความพร่ามัว บางรายอาจจะเห็นเป็นเงาบางตรงกลาง หรือเห็นภาพลักษณะบิดเบี้ยวไป
- มองเห็นเป็นเงาดำมาบังตา
เกิดจากเส้นเลือดแตก มีเลือดออกในลูกตามาบดบังการมองเห็น ผู้ป่วยอาจเห็นเป็นเงาดำมาบังตาซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณเลือดที่ออก บางครั้งอาจเห็นเป็นเส้นลอยไปมา
- จอดำมืด!!
เกิดจากกรณีที่ผู้ป่วยมีเลือดออกในปริมาณมากและเลือดแตกเข้ามาในน้ำวุ้นตาของผู้ป่วย จนทำให้การมองเห็นเป็นภาพที่มืดไป
ปัจจุบันโรงพยาบาลพระรามเก้า พร้อมด้วยเครื่องมือตรวจวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตา ด้วยมาตรฐานระดับสากล อาทิ การหยอดยาขยายม่านตา เพื่อเปิดม่านตาและตรวจจอประสาทตาอย่างละเอียด ซึ่งในกรณีนี้ตัวยาทำให้ตาลายชั่วคราวประมาณ 4 ชม. ไม่สามารถขับรถได้ และรอม่านตาขยาย 1 ชั่วโมงจึงตรวจได้ ในกรณีคนไข้บางรายอาจจะไม่สะดวกหยอดยาขยายม่านตา เราสามารถใช้เครื่องถ่ายภาพจอประสาทตามุมกว้าง ที่จะช่วยให้แพทย์สามารถถ่ายภาพให้เห็นพื้นที่จอประสาทตาได้ถึง 200 องศา จากเดิมถ้าเป็นกล้องถ่ายภาพจอประสาทตาทั่วไปจะเห็นพื้นที่เพียง 50 องศา นอกจากนี้ยังมี การตรวจวัดด้วยเครื่องถ่ายภาพตัดขวางจอตา หรือ เครื่อง OCT เครื่องมือที่ใช้ถ่ายภาพประสาทตาในลักษณะภาพตัดขวาง ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยเรื่องของพยาธิสภาพที่จอประสาทตาของคนไข้ได้ละเอียดมากขึ้นช่วยในการรักษาได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบัน การรักษาเบาหวานขึ้นตา สามารถทำได้โดย
- ควบคุมที่ต้นเหตุ: โดยหลักการแล้วการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะที่เป็น หากแพทย์พบว่าคนไข้เริ่มมีอาการเบาหวานขึ้นตา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาที่ต้นเหตุ โดยเน้นที่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือดและความดันโลหิตให้ปกติ เพราะเหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะทำให้ภาวะเบาหวานขึ้นตามีอาการรุนแรงขึ้น
- ยิงเลเซอร์: กรณีเริ่มมีเลือดออกในลูกตามากขึ้น แพทย์จะเลือกรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ โดยแพทย์จะยิงเลเซอร์ไปที่จอประสาทตาบริเวณรอบนอกเพื่อลดระดับการใช้ปริมาณออกซิเจนของเนื้อเยื่อในลูกตา และลดการหลั่งสารที่กระตุ้นให้เกิดเส้นเลือดผิดปกติจากเบาหวานขึ้นตา
- ฉีดยาเข้าน้ำวุ้นตา: กรณีคนไข้มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น มีอาการจอประสาทตาบวมร่วมด้วย แพทย์จะใช้เป็นการฉีดยาเข้าช่วย โดยใช้ยาฉีดเข้าน้ำวุ้นตาคนไข้เพื่อลดการบวมของเนื้อเยื่อจอประสาทตา ปัจจุบันตัวยารักษาคนไข้เบาหวานขึ้นตานั้นก็พัฒนาไปไกลพอสมควร ยาที่ทางโรงพยาบาลใช้ฉีดรักษามีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในช่วงระยะแรกๆ คือ คนไข้จำเป็นต้องได้รับยาทุกเดือนในช่วง 4-6 เดือนแรก โดยเราพบว่าโอกาสที่การมองเห็นจะฟื้นกลับมา ใกล้เคียงปกติสูงถึง 60-70% เลยทีเดียว
- ผ่าตัด: กรณีที่อาการรุนแรงกว่านั้น อาทิ หากผู้ป่วยปล่อยไว้จนเกิดพังผืดขึ้นจนดึงรั้งจอประสาทตาให้ลอกหรือว่ามีเลือดออกในวุ้นตาปริมาณมาก แพทย์อาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ทั้งนี้วิธีการรักษาแพทย์จะพิจารณาตามระยะของโรคที่คนไข้เป็น บางรายอาจจะต้องมีการรักษามากกว่าหนึ่งอย่างร่วมกัน เช่น การฉีดยาร่วมกับการใช้เลเซอร์ หรือ การฉีดยาร่วมกับการผ่าตัดด้วย
ภาวะโรคเบาหวานส่วนมากในระยะเริ่มต้นคนไข้จะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมแพทย์จึงต้องแนะนำให้คนไข้ที่เป็นเบาหวานทุกคน เข้ารับการตรวจสภาพตาเพื่อหาความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการรักษาในระยะเริ่มต้นจะให้ผลดีกว่าการที่ปล่อยจนอาการรุนแรงแล้วจึงค่อยมาพบแพทย์”
“หลายท่านทราบอยู่แล้วว่าโรคเบาหวาน เป็นโรคที่ไม่หายขาดแต่สามารถใช้ยาในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คนไข้มีชีวิตใกล้เคียงกับปกติที่สุดได้ ดังนั้น การรักษาด้วยวิธีที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่สามารถทำให้ตาของคนไข้กลับมาเป็นปกติได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือหายจากภาวะเบาหวานขึ้นตาทันที แต่จุดประสงค์หลักของการรักษาเพื่อพยายามหยุดตัวโรคไม่ให้เป็นมากขึ้น และเพื่อประคองการมองเห็นที่ยังเหลืออยู่ไม่ให้แย่ลง เพราะฉะนั้นคนไข้ที่ผ่านการรักษาไปแล้ว โรคสงบแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจติดตามอยู่เป็นระยะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของคนไข้เป็นสำคัญด้วย เพราะหากควบคุมโรคเบาหวานได้ไม่ดี ก็มีโอกาสที่จะกลับมากำเริบได้เช่นกัน” นายแพทย์ศิริพงศ์ ทิ้งท้าย
ท่านสามารถศึกษาถึงปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือนของโรคเพิ่มเติมได้ที่ https://www.praram9.com/articles/ หรือรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลพระรามเก้า โทร. 1270 หรือ www.praram9.com / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital และทาง Facebook: Praram9 Hospital โรงพยาบาลพระรามเก้า HEALTHCARE YOU CAN TRUST เรื่องสุขภาพ…ไว้ใจเรา #Praram9Hospital
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์โครงการ ได้ที่อีเมล์ pr.aboutliving@gmail.com
สนใจโฆษณา ได้ที่ อีเมล์ aboutliving.asia@gmail.com