เจาะลึก ตลาดนัดหัวมุม ธุรกิจจัดการอสังหาฯ
ลงทุน 100 ล้าน คาดคืนทุนใน 5 ปี
เน้นวางระบบที่ดีและสร้างความโดดเด่น
ทุกร้านค้าต้อง “มีแนว” เพื่อความแตกต่าง
พูดถึงตลาดนัดขนาดใหญ่ในกรุงเทพในปัจจุบัน หลายคนจะคุ้นเคยกับตลาดนัดจตุจักร ซึ่งมีจำนวนผู้คนมากมายไปจับจ่ายซื้อของกันเป็นประจำทุกสุดสัปดาห์ เพราะมีเหล่าพ่อค้าแม่ขายแทบจะทุกไอเทมสินค้า SMEs ไปขายของกันจนล็อกให้บริการเต็มตลอด แต่ตลาดนัดก็ได้กระจายตัวออกไปอีกมากมายในลักษณะตลาดกลางคืน เช่น ตลาดนัดนกฮูก ตลาดนัดรถไฟ (เกษตร-นวมินทร์ ,รัชดา และศรีนครินทร์) , ตลาดนัดเรียบด่วนรามอินทรา (เรียบด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์) , อาร์ตบ๊อกซ์ (จตุจักร) , ตลาดนัดตะวันนา , ตลาดนัดเจเจกรีน (จตุจักร) , ตลาดนัดนีออน (ประตูน้ำ) ฯลฯ ซึ่งตลาดนัดกลางคืนแนวนี้ เรียกได้ว่าผุดกันขึ้นเป็นดอกเห็ดทีเดียวเลย ส่วนในวันนี้ BizIdeas จะพาไปดูแนวคิดของตลาดนัดกลางคืนอีกที่หนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่บูมมากๆ อีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ “ตลาดนัดหัวมุม” บริเวณแยกเรียบด่วนรามอินทรา ตัดกับเกษตร-นวมินทร์ นั่นเอง
BizIdeas By AboutLiving มีโอกาสดีมากๆ ที่ได้เข้าไปร่วมเยี่ยมชมตลาดนัดหัวมุม พร้อมๆ กับเพื่อนๆ ในกลุ่มสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์และพันธมิตร (REP) ซึ่งในการไปเยี่ยมชมครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับด้วยตัวเองจาก คุณกุ้ง ….ผู้เป็นเจ้าของตลาดหัวมุม หนึ่งในผู้ลงทุนลงแรงในการพัฒนาตลาดแห่งนี้ด้วยงบประมาณในการก่อสร้างมากกว่า 100 ล้านบาท เพื่อสร้างสรรค์ให้พื้นที่กว่า 30 ไร่ ที่เดิมเคยเป็นทุ่งหญ้าและบ่อน้ำรกๆ ข้างทาง ให้เป็นสถานที่การค้าสำคัญสำหรับคน SMEs และประสบความสำเร็จอย่างมากจนทำให้มีผู้คนมากมาย หลั่งไหลมา ช็อป ชิม ชิล ใช้จ่ายและเดินเที่ยวในตลาดแห่งนี้เป็นจำนวนมากทุกวัน ต้องย้ำว่าทุกวันจริงๆ เพราะตลาดนัดหัวมุมเค้าเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 17.00-24.00 น. กันเลยทีเดียว ทีนี้ลองมาดูแนวคิดในการสร้างตลาดหัวมุมให้ประสบความสำเร็จกันดีกว่า ว่าเค้ามีที่มาที่ไปกันอย่างไร
จุดเด่นของตลาดหัวมุม ในมุมของเจ้าของผู้พัฒนาตลาด ให้ความสำคัญกับรูปแบบของตลาดเป็นอย่างมาก เพราะพื้นที่ถูกยกระดับพื้นและเทคอนกรีตทั้งโครงการ เพื่อให้รูปแบบของการบริหารจัดการมีความสวยงาม สะดวกสบาย ทั้งคนขายสินค้าและผู้ใช้บริการ เนื่องจากตลาดนัดรูปแบบเดิมๆ พื้นที่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้รับการปรับปรุง เป็นการถมที่ด้วยหิน ดิน ทราย หรือเรียกว่าเป็นการปรับพื้นที่แบบง่ายๆ ซึ่งประหยัดงบประมาณ แต่สิ่งที่ได้มาคือ ความสกปรก รก เลอะเทอะ นั่นเอง เวลาฝนไม่ตกฝุ่นก็ตลบอบอวล ส่วนเวลาหน้าฝนก็เละเทะกันไปทั้งคนขายและคนซื้อ
นอกจากนี้ตลาดหัวมุมยังลงทุนกับระบบไฟฟ้าและแสงสว่างภายในโครงการ ด้วยเสาไฟสปอร์ตไลท์ที่เป็น LED แบบประหยัดพลังงาน ติดตั้งทั่วพื้นที่โครงการ ทำให้ตลาดมีความสว่าง ทำให้คนรู้สึกสว่าง สะดวกและปลอดภัยนั่นเอง
“เรายอมลงทุนปรับพื้น เทคอนกรีตทั้งพื้นที่ เพื่อให้ตลาดนัดหัวมุมถูกยกระดับให้เกิดความสวยงาม สะดวกต่อผู้ค้าขาย และผู้ซื้อ ที่ไม่ต้องกังวลกับสภาพตลาดที่รกเละเทะ แตกต่างจากที่อื่นๆ ที่มักไม่ได้ปรับพื้น ทำให้มีฝุ่น และเละเทะมากเวลาที่ฝนตก เพราะการมีระบบระบายน้ำที่ดี ระบบการดูแลรักษาความสะอาดก็ง่าย คนซื้อก็เดินได้สะดวกและปลอดภัย แม้จะต้องลงทุนสูงกว่าที่อื่นๆ แต่เชื่อว่าระบบที่ดีนั้นคุ้มค่ากับการบริหารตลาดในระยะยาวๆ นั่นเอง” คุณกุ้งกล่าว
เทคนิคการจัดรูปแบบการตลาด มีความสำคัญต่อการดึงดูด
ตลาดหัวมุม มีการจัดระบบโซนนิ่งของการเช่าพื้นที่ไว้อย่างเป็นระเบียบและรัดกุมค่อนข้างมาก โดยแบ่งโซนหน้าเป็นส่วนของร้านค้าทั่วไป ที่กำหนดให้พ่อค้าแม่ขาย วางสินค้าบนพื้นที่ขนาด 2×2 เมตร ต่อล็อค ซึ่งมีพื้นที่ส่วนของร้านค้าแบ่งเป็นกลุ่มๆ รวมๆ ก็ราวๆ 400-500 ร้านค้า จากร้านค้าทั้งหมดที่เป็นแบบชั่วคราวและถาวรประมาณ 1000 ร้านค้า และข้อห้ามที่เด็ดขาดมาก คือต้องไม่ล้ำเขตแดนยื่นออกมาบนทางเด็ดขาด ส่วนความกว้างของทางเดินชมสินค้าของผู้มาเยี่ยมชมตลาด วางไว้ให้มีระยะความกว้าง 2 เมตร ตลอดในแต่ละซอย เพื่อให้คนเดินสวนไปสวนมาสะดวกและไม่รู้สึกอึดอัด
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ตลาดหัวมุมดูสวยงาม ก็คือ ระบบไฟที่นอกเหนือจากไฟฟ้าแสงสว่างจากเสาไฟทั่วพื้นที่แล้ว ยังเน้นระเบียบการใช้ไฟฟ้าของร้านค้า ที่ให้ใช้หลอด LED ประหยัดพลังงานสีเหลืองนวล เจ้าละ 1 หลอด แต่เฉพาะบางร้านเท่านั้นที่เราจะเห็นหลอดไฟสีขาว นั่นหมายถึงร้านนั้นขายเครื่องประดับ ที่แสงของไฟเหลืองมีผลต่อความสวยงามของร้านเท่านั้น และในฤดูกาลปกติเราจะไม่เห็นว่ามีการกางเต็นท์ เพราะไม่ต้องการทำลายทัศนียภาพอันสวยงามของไฟตลาด แต่หากเกิดฝนตก ก็จะมีการประกาศให้กางร่ม หรือตั้งเต็นท์ได้ ซึ่งก็จะมีการควบคุมสีของเต็นท์ให้มีแค่ สีดำ สีส้ม หรือแบบผ้าใบใสๆ เท่านั้น
ส่วนเรื่องของที่จอดรถ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากของตลาดนัด ก็ได้ถูกจัดระเบียบไว้อย่างรัดกุม โดยมีที่จอดรถรวมประมาณ 2500-3000 คัน แต่จะแบ่งโซนให้ผู้ขายของจอดแยกจากคนที่มาเดินเที่ยวอย่างเป็นสัดส่วน และห้ามผู้ค้าแอบไปจอดในพื้นที่ของลูกค้าเด็ดขาด หากเจอรายใดแหกกฎ ถือเป็นความผิดอาจจะโดนตัดล็อคเลยก็ได้ และที่จอดรถของคนค้าขายจะต้องรับสติกเกอร์แล้วเข้าไปจอดเรียงคัน และแบ่งโซนนิ่งด้วย เช่น ถ้าพ่อค้าแม่ค้าแฟชั่นก็จะอยู่มุมนึง เพราะกลุ่มนี้จะเลิกขายประมาณเที่ยงคืน ส่วนกลุ่มร้านอาหารก็จะเลิกประมาณตีหนึ่ง เพราะเก็บร้านช้ากว่า แต่ทั้งหมดเมื่อถึงเวลาที่จอดเต็มก็จะปิดประตูไว้ในช่วง 18.00-23.00 น. เพื่อให้เกิดระเบียบวินัยว่า พ่อค้าแม่ค้าที่มาเร็วเท่านั้น ถึงจะมีที่จอดรถจ้า ราคาค่าที่จอดรถยนต์ก็คันละ 30 บาท 4 ชั่วโมง ส่วนมอเตอร์ไซค์คันละ 10 บาท แต่หากเป็นพวกบิ๊กไบค์ก็คันละ 20 บาท
แต่ละร้านต้องมีจุดขายที่โดดเด่นและแตกต่าง
ไอเดียนี้น่าจะมาจากการที่เจ้าของตลาด เป็นนักการตลาดและทำงานด้านโฆษณามาก่อน ทำให้เห็นความสำคัญของการสร้างจุดขายที่โดดเด่นให้กับร้านค้าด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ร้านค้าที่ตลาดหัวมุม ร้านค้าส่วนใหญ่จะสร้างจุดเด่นที่แตกต่าง
อาทิ ชื่อของร้านที่ดึงดูดใจ เช่น “ร้านสถานีมีหอย” มีผู้ชายกล้ามล่ำ แต่งตัวชุดราตรีมาขายหอยปิ้ง-ย่าง สร้างความตื่นเต้นจนคนแน่นร้านไปหมด
หรือจะเป็นร้านกุ้งยกกระทะ ที่เอากุ้งหอยปูปลามากองๆรวมๆ กันในกระดาษ เพื่อให้แขกได้ลองชิมอาหารกันอย่างจุใจและถึงใจ
ซึ่งร้านค้าหลายร้านในตลาดหัวมุมแห่งนี้ แจ้งเกิดบนเวที “SMEs” กันเลยทีเดียว อาทิ ร้านติ่งเกาหลี , หนังไก่ฮีโร่ ที่มาโด่งดังแล้วขายเฟรนไชส์ออกไปจนร่ำรวยกันไปหลายเจ้า และด้วยการที่เป็นตลาดของคนหลากหลาย ทำให้ดาราหลายคนมาเปิดร้านอาหารที่นี่กันหลายเจ้าด้วย ส่วนจุดเด่นของอาหารที่นี่ก็มีหลายหลาย และหลายระดับราคา เพื่อรองรับคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่ราคาจานละไม่กี่สิบบาท ไปจนถึงจานละเกือบหมื่นก็มีนะจ๊ะ
จุดที่ทำให้ตลาดอยู่ได้ นั่นก็คือรายได้ค่าเช่าร้าน ซึ่งตลาดหัวมุมมีการวางระบบการบริหารจัดการเป็นอย่างดี ผู้เช่าทุกรายจะต้องนำบัตรประชาชนมาจ่ายเงิน และตรวจสอบการเช่าใช้ล็อคของตัวเอง เพื่อป้องกันการเช่าช่วง และย้ายล็อค สัญญาเช่าสำหรับจุดบริการถาวร ก็เป็นสัญญาเช่าแบบปีต่อปี เพื่อให้ตลาดมีทางออกสำหรับกรณีที่ผู้เช่ารายใหญ่ ไม่ปฏิบัติตามกฎและกติกา ก็พร้อมจะเปลี่ยนออกทันที ในขณะที่มีการเข้มงวดมากกับผู้เช่ารายย่อย ที่จะต้องมาถึงตลาดตรงเวลา เพราะไม่ต้องการให้ตลาดเกิดสภาพ ฟันหลอ หรือร้านค้าแหว่งๆ ไปในยามที่ผู้เช่าไม่มา เนื่องจากตลาดแห่งนี้เปิดบริการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดเลย นอกจากนี้ยังใช้วิธีการคัดเลือกโปรไฟล์ของร้านค้าด้วย เพื่อไม่ให้ร้านบางประเภทมีจำนวนเยอะเกินไป หรือแข่งขันกันมากเกินไป จนต้องเอาราคามาแข่งขันกันจนบาดเจ็บนั่นเอง
เสริมไอเดียเรื่องการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้ของตลาดเพิ่มเติม อาทิ ระบบบริการขายน้ำดื่มประเภทน้ำเปล่า อนุญาตให้ขายเฉพาะของตลาดหัวมุมเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ร้านค้าขายน้ำเปล่าของแบรนด์อื่นๆ เลย และน้ำดื่มประเภทน้ำอัดลมก็มีรับเป็นสัมปทานรายซุ้มกันไปตามจุดต่างๆ นอกจากนี้วิธีการจัดเก็บรายได้เพิ่มอื่นๆ เช่น ค่าไฟร้านค้า วันละ 10 บาท ต่อจุด ส่วนร้านที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์หรือร้านถาวรก็มีระบบเติมเงินตู้ไฟ ระบบน้ำล้างจานเป็นแบบหยอดเหรียญ การให้เช่าพื้นที่วางตู้เอทีเอ็ม ตู้เติมเงินอินเทอร์เน็ตมือถือ และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะทุกรายละเอียดคือรายได้ที่จะมาสร้างรายรับให้คุ้มค่ากับการลงทุนไปกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจากการแอบสอบถามผู้บริหารแล้ว แอบกระซิบว่า “เดิมตั้งเป้าไว้ 3 ปีคืน แต่ด้วยข้อจำกัดและปัญหาบางประการ ทำให้ต้องขยายเวลาคืนทุนประมาณ 5 ปีจ้า”
คงเป็นการเปิดไอเดียกว้างๆ สำหรับหลายคนที่มีที่ทาง แล้วอยากจะทำตลาดนัดขึ้นมา ก็เรียกว่าไม่ได้ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป แต่คงต้องมีการลงทุนลงแรงอีกพอสมควร เพื่อให้ตลาดนัด ได้รับความสนใจทั้งจากผู้เช่าพ่อค้าแม่ค้า ในขณะเดียวกันก็ต้องโดนใจผู้ซื้อหรือคนมาเที่ยวตลาดด้วย เพราะไม่เช่นนั้น ธุรกิจตลาดนัดก็คงจะเกิดยาก และอาจจะขาดทุนจนต้องปิดไปในที่สุดนั่นเอง สำหรับท่านใดที่สนใจการค้าขายในตลาดหัวมุม สามารถติดต่อได้ที่ 082-867-9224 , 081 422 0976 หรือ 089 533 5651
CR. ขอบคุณผู้บริหารตลาดนัดหัวมุม และสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์และพันธมิตร
เรื่องโดย BizIdeas By AboutLiving
ภาพโดย Mr.AboutLiving