นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ความพยายามบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด ก็เกิดขึ้นมากผิดปกติ และ ได้มีการเปิดเผยมากยิ่งขึ้นแบบไม่ได้เกรงกลัว โดย.. กลุ่มบุคคลที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ไม่เพียงแต่เคลื่อนไหวภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ!
=====================================================================================
— ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริง แต่เป็นความเท็จ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นผลงานของนักล็อบบี้อาชีพ จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง และ บริษัทที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ ที่ถูกใครบางคนจ้างวานไว้ 3 บริษัท โดยได้มีการจ่ายให้ บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภา และ รัฐบาลอเมริกัน เพื่อผลทางการเมืองของตนเอง อย่างไรก็ดีนั้น ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็คือ.. ได้เกิดกระแส -การต่อต้านสถาบันกษัตริย์- จากนักการเมืองของสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
— ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐฯ ได้ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งมีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบที่หลากหลาย และได้เขียนบทความภาษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน ซึ่งได้แก่
— เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) ผู้ซึ่งทรงอิทธิพลในสหรัฐฯ การที่ เจ.เค. ได้จงใจเขียนบทความ เพื่อโจมตีสถาบันกษัตริย์ และกลับยกย่องเชิดชู ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับสถาบันกษัตริย์ว่าเป็น ‘ฝ่ายของประชาธิปไตย’ สลับกันไปมาหลายปี โดยผ่านการวางแผนไว้เป็นอย่างดี!
— ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่เจ้าตัวได้ออกมายอมรับเอง ว่าได้รับการว่าจ้าง ให้มาทำงานด้านนี้จริง และเป็นผู้ที่นำเอาคดีความของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “อากง” มาเขียนโจมตีกฎหมาย ม.112 .เพื่อจะได้กล่าวพาดพิงไปถึง พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ 9
— ในความเป็นจริงแล้ว พวกคนเหล่านี้ ไม่ได้มีความรู้ลึกตื้นหนาบางอะไรที่เกี่ยวกับประเทศไทยเราเลย แต่ได้ถูกป้อนชุดข้อมูลจาก นักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐ ซึ่งหลายๆคน ชาวไทยก็คุ้นชื่อกันอย่างดี
— ในกลางปี 2556 นักล็อบบี้กลุ่มนี้ วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ ในที่ประชุมประจำปี ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยผู้มากอิทธิพล ร่วมในกลุ่มจัดตั้งนี้ด้วย
— การอภิปรายดังกล่าว มีเป้าหมายมุ่งโจมตี สถาบันกษัตริย์ไทย ในยุครัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ รวมทั้งมีแผนการ ที่จะตีพิมพ์หนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ที่ผู้เขียนได้อ้างหลักฐาน จากห้องสมุดมหาวิทยาลัยรัฐสภาของสหรัฐฯ (หากดูเพียงแค่ผิวเผิน ก็คงน่าเชื่อถือ) ซึ่งได้คัดเฉพาะ ส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อเปิดทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9
— ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พวกนักล็อบบี้อเมริกัน ได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นเติมเสริมแต่งอันเป็นเท็จ จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐฯได้หลงเชื่อ
— ในคราวนั้นเอง สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยง ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร ตามที่เคยปฏิบัติมา จนสภาสูงของสหรัฐฯ ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า เหล่าล็อบบี้ยิสต์ชาวอเมริกัน ที่ทำงานให้กับนายจ้างวานคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์ ทำงานกันอย่างได้ผล ทำให้รัฐสภาชุดก่อนนั้น ได้เข้าใจผิด และ ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน
— ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ อาทิ เช่น.. กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และอีกโครงการ ก็มีเงิน 200 ถึง 300 ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ตามที่กลุ่มพวกนี้ได้ขอไป
— ซึ่งได้มีการอ้างว่า ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชน ในการพัฒนาประชาธิไตย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับนำไป สร้างสื่อและเว็บไซต์ เพื่อปลุกระดม และโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เพราะว่าทางสถาบัน ได้สิทธิเหนือประชาชนชาวไทย
— โดยเหล่าบรรดานักล็อบบี้เหล่านั้น ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง หรือ หลาย ๆ ชุด และไปเคลื่อนไหวเพื่อพยายามจะ ชักจูง ชี้นำ โน้มน้าว ผลักดัน ให้สมาชิกรัฐสภาและสถาบันอื่นของสหรัฐฯ หลงเชื่อในวาทะกรรม
— ก็คือ.. สถาบันสูงสุดของประเทศไทย หรือ สถาบันกษัตริย์ นั้นเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สถาบันกษัตริย์ของไทยทำลายสิทธิมนุษยชน โดยอ้างว่า ปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทั้งนี้ก็เพื่อจะเสนอให้ใครบางคน ให้ได้เป็น “ทางออก” ของประเทศ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือเป็น ประธานาธิบดี นั่นเอง)
— คนพวกนี้พยายามป้อนข้อมูล ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะหากสถาบันไม่สู้ สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น นอกจากอยู่ข้างฝ่ายประชาธิปไตยที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์ และเป็นการส่งสัญญาณ ไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีนที่สนับสนุนสถาบันโดยตลอด
— หากสหรัฐฯและประเทศเหล่านั้นสรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ สหรัฐฯและประเทศเหล่านี้ ก็คงคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศตัวเองเป็นสำคัญ และ คงจะเข้าข้างฝ่ายชนะที่ถือเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” นั่นเอง
— อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันกษัตริย์ได้ส่งสัญญาณไปมาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทยได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” จากสถาบันทหารและรัฐบาลในยุคนั้นก็ตามที จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ ให้พ้นจากการคุกคาม จากฝ่ายบ่อนทำลายทั้งในและนอกประเทศ
— รัฐบาลชุดก่อนเคยมอบทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ.. คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ จอห์นฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อจะสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่าศูนย์เหล่านี้ ได้กลายไปเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่ การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด และยังอาจจะขยายเครือข่ายให้กว้างขวางไปจนถึง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ก็เป็นได้
— ไทยถูกคุกคาม ด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงในช่วงเดือน เม.ย. ถึง พ.ค. ของปี 2553 และ สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงสงครามทุนและสงครามไซเบอร์ ซึ่งสงครามทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐฯแต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก
— ในประเทศไทย สหรัฐฯต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ เคยมีข่าวว่า ทางสหรัฐฯได้ส่งทหารรับจ้างที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5 – 6 ชุด เข้ามาประจำอยู่ในไทย โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บวกเบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งอเมริกามีความเชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้เป็นอย่างมาก! ดังที่เคยประสบความสำเร็จแล้ว ในแถบละตินอเมริกา
— อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้น มันเป็นเรื่องจริง และ หนักหนาสาหัสมาก ๆ ชาติและสถาบันของเรากำลังเสี่ยงอันตราย อย่างชนิดที่คิดไม่ถึง สิ่งที่เราเห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศนั้น เป็นเพียงแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำเพียงแค่ 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วน ยังอยู่ใต้น้ำ
บทความนี้ ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐฯ เพียงแต่ขอให้ประชาชนคนไทย อย่าปล่อยให้ใครมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น ปัญหาของประเทศไทย ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก เราจะต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดของเรายังสู้ และคนไทยพร้อมจะสู้ เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ
=====================================================================================
เรียบเรียงจาก >> บทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ (อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ)
แหล่งที่มา >> https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/2214925738816438